โน๊ตสากล เป็นภาษาดนตรีที่ใช้ได้ทั่วโลก...ถ้าสามารถเล่นดนตรีประกอบอ่านโน๊ตสากลได้ ก็ตระเวนท่องเที่ยวและแสดงฝีมือทางดนตรีได้ทั่วโลก...การคิดและทำความเข้าใจในตัวโน๊ต...เกิดความคิดสร้างสรรใหม่ ๆในด้านดนตรี...สร้างเสียงดนตรีทำนองแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไม่แน่นักว่าจะดังเปรี๊ยงปร๊างขึ้นมา..ทันตาเห็น..ยิ่งเรียนยิ่งสนุก...
บ๊ะ..ชักอยากเรียนแล้วซิ...ป๊ะ..ไปเรียนกันเล๊ย.ย..ย..ของฟรีอยู่ที่นี่เด้อครับเด้อ..อิ..อิ..
The Staff, Clefs, and Ledger Lines
Grand Staff
บรรทัด 11 เส้น แบ่งเป็น 2 กลุ่มเพื่อให้อ่านได้ง่ายขึ้น
Clefs
เป็นกุญแจซอล 5 เส้น
เป็นกุญแจฟา 5 เส้น
โดยมีเส้นที่ 6 เชื่อมระหว่างกุญแจซอล และ กุญแจฟา เรียกว่า เส้นน้อย
Ledger Lines
ตัวโน๊ตที่วางอยู่ในกุญแจ ซอล และกุญแจ ฟา
http://youtu.be/MCRP5cOYcSs วีดีโอ note#1
Note Duration = ลักษณะตัวโน๊ตต่าง ๆ
ตัวโน๊ต http://www.youtube.com/watch?v=iIOVYGHsVhc&feature=g-upl = วีดีโอ..ตอนที่ 2 อธิบายตัวโน๊ต
Measures and Time Signature = อัตตราส่วนโน๊ต
http://www.youtube.com/watch?v=OWFp2jdTcLg&feature=youtu.be = วีดีโอ.ตอนที่ 3 อัตราส่วนโน๊ต
Rest Duration = ตัวหยุด
ตัวหยุดชนิดต่าง ๆ
Dot = โน๊ตปะจุด = ให้เล่นเสียงเพิ่มอีกครึ่งเสียงของโน๊ตตัวหน้า
Tie = ไทซ์โยง = ให้เล่นเสียงเพิ่มอีกตามตัวโน๊ตที่มีไทซ์โยง
(ส่วนมากโยงระหว่างเส้นกั้นห้อง หรือเส้นสมมติกลางห้อง)
Imagine line = เส้นสมมติ
imagine line = ส้นสมมติ คือเส้นที่นักดนตรีจินตนาการขึ้นมาก่อนเข้าจังหวะที่ 3 เพื่อให้การ
อ่านโน๊ตไม่ผิดส่วนโน๊ต หรือไม่ผิดจังหวะ และอ่านง่ายขึ้น งงเด๊ะ งง.. ซิ..งง.. อิ..อิ..
ดู 2 ภาพนี้
เขียนโน๊ตผิด..เพราะเขียนโน๊ตไม่มีเส้นสมมติ...เขียนโน๊ต
ถูกต้อง...เพราะมีเส้นสมมติ
ทีนี้ก็เข้าใจแล้วว่า...เส้นสมมติคือเส้นหยั๋ง..อิ..อิ..เฮ้อ..โล่ง
Flat, Sharp, Natural
Flat = ต่ำลงครึ่งเสียง Double flat = ต่ำลง 1 เสียง
Sharp = สูงขึ้นครึ่งเสียง Double sharp = สูงขึ้น 1 เสียง
Natural = เล่นโน๊ตปกติ
กฎหลัก (สำคัญมาก)
ระยะห่างของเสียง 1 เสียงเต็ม เฉพาะ 3-4 และ 7-8 ห่างกัน ครึ่งเสียง
กฎนี้นำไปใช้กับระดับเสียงอื่น ๆ ได้ทั้ง 12 เสียง
ระยะห่างของเสียง 1 เสียงเต็ม เฉพาะ 2-3 และ 5-6 ห่างกัน ครึ่งเสียง
สำหรับชื่อเรียกประจำตัวโน๊ตแต่ละตัวนี้..ก็จำผ่าน ๆ ไปก่อนละกันเน๊าะ..
กุญแจเสียง สำคัญมาก..จะค่อย ๆ อธิบายนะครับ
อธิบาย 0 หรือ เนเจอร์รัล คือบรรไดเสียง C (โด) จะไม่มีแฟล๊ท หรือ ชาร์ฟ
ติดมาในบรรไดเสียงนี้
(อยู่ในกฎหลัก C เมเจอร์ หรือกฎจากเครื่องดนตรี เอาเปียโนเป็นกฎ)
หมายเหตุ แฟล๊ท = ให้ค่าเป็น ลบ -
ชาร์ฟ = ให้ค่าเป็น บวก +
Key Signature = กุญแจเสียง (บันไดเสียงต่าง ๆ)
จากกฎ1-2-3 และ3-4 =ครึ่งเสียง
4-5-6-7 และ 7-8 =ครึ่งเสียง
ดูตามภาพ จะเห็นว่า เริ่มด้วย ฟา เป็นตัวที่ 1
ซอล เป็นตัวที่ 2
ลา เป็นตัวที่ 3
กฎ บังคับให้ 3-4 = ครึ่งเสียงแต่ตามภาพนี้ 3-4 = 1 เสียง ตัว ซี (B) จึงต้องแคบเข้าครึ่งเสียง
จึงกลายเป็น Bb (ซีแฟล๊ต) เป็นตัวที่ 4
โด เป็นตัวที่ 5
เร เป็นตัวที่ 6
มี เป็นตัวที่ 7
ฟา เป็นตัวที่ 8
ดูตามภาพจะเห็นว่า 7-8 อยู่ตามกฎของเสียง (เครื่องดนตรี) อยู่แล้ว
เอ...งงป่าวหว่า..??
ถ้าไม่งง...ลองซ้อมมือเขียนคีย์ต่าง ๆ ตามรูปบันไดเสียงดูครับ
หรือจะลองกดคีย์เปียโนดู ก็ยิ่งจะเข้าใจเร็วขึ้นครับ...เช่น
คีย์ ซอล...(G) เริ่มด้วยตัว ซอล เป็นตัวที่ 1 ก็ไล่เรียงขึ้นไปให้ได้ตามกฎเมเจอร์
ดูซิว่าตัวโน๊ตจะพาเราจรไปติดคีย์แฟล๊ต หรือ ชาร์ฟ ตัวไหนบ้าง
ภาษานักดนตรี ก็จะบอกกันว่า คีย์ 1 ชาร์ฟ, คีย์ 1 แฟล๊ต, คีย์ 2 ชาร์ฟ, คีย์ 3 แฟล๊ต
จนกระทั่งถึง 5 แฟล๊ต 5 ชาร์ฟ .หรือ 7 แฟล๊ต 7 ชาร์ฟ..เป็นต้น...เอ้า...ลองทำดูครับ
พอทำได้ เข้าใจ ก็จะสนุกไปเรื่อย ๆ ทีเดียว..อิ..อิ..
Generic Intervals ขั้นคู่เสียง
สำคัญ เพราะเครื่องดนตรีที่ระดับเสียงไม่เหมือนกัน...ต้องการให้ออกเสียงเดียวกัน
หรือประสานเสียงระหว่างเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกัน...หลายชิ้น
ระดับเสียง Cmajor จากคู่ที่ 1 ตามละดับจนถึงคู่ที่ 8
โดยยึดหลักจากแผนภูมินี้...เป็นกฎ ใช้เรียกคู่เสียงหรือเทียบเคียงขั้นคู่
ในระดับเสียงอื่น ๆ
Specific Intervals = ขั้นคู่เสียงพิเศษ
เมื่อตัวโน๊ตตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป มาใช้งานร่วมกัน ก็เกิดขั้นคู่เสียงขึ้น ทำให้เกิดเสียง
เมเจอร์ ไมเนอร์ หรือเพอร์เฟ๊ก จึงต้องนำมาทำความเข้าใจก่อนครับ
คู่ 2 เมเจอร์ และแคบเข้ามาครึ่งเสียง เป็น คู่ 2 ไมเนอร์
คู่ 2 เมเจอร์
คู่ 3 เมเจอร์
คู่ 4 เพอร์เฟค
คู่ 5 เพอร์เฟค
คู่ 6 เมเจอร์
คู่ 7 เมเจอร์
คู่ 8 เพอร์เฟค คือ โด ถึง โด
minor intervals
ชื่อเรียก คู่เมเจอร์ เมื่อแคบเข้าครึ่งเสียง เป็นคู่ไมเนอร์...
ชื่อเรียก คู่เพอร์เฟค เมื่อกว้างออกครึ่งเสียง เป็นคู่อ๊อคเมนเตด...